ตั้งราคาสินค้างานหนังอย่างไรดี

ช่างหนังหลายคนที่เริ่มทำชิ้นงานออกมาได้สวย พร้อมที่จะเปิดขายอย่างมั่นใจแล้ว มักสงสัยว่า “แล้วเราจะตั้งราคาสินค้าอย่างไรดี?”

บทความนี้จะสรุปสิ่งที่ควรต้องลิสต์ออกมา เพื่อให้ครอบคลุมทุกด้านและทำให้ธุรกิจของคุณไปได้อีกไกลค่ะ มาเริ่มกันเลย !!

อันดับแรก คือ คิดต้นทุนออกมาให้ได้ก่อน

อย่าบอกว่า “ไม่ได้ คิดไม่ได้ จะคิดได้ยังไง ราคามันไม่นิ่ง” .. เราต้องคิดให้ได้ค่ะ และจำเป็นต้องจดราคาซื้อ ราคาขนส่ง (ถ้ามี) และร้านที่ซื้อไว้ บันทึกไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะบันทึกต้นทุน แล้ววันนึงถ้าของหมด เราก็จะได้รู้ด้วยว่า เราซื้ออะไรมาจากร้านไหน เพื่อที่จะวางแผนต่อในอนาคต

ต้นทุนอื่นๆ ก็ต้องคิดด้วยนะ

สมมติว่าเราทำกระเป๋าสตางค์หนังขาย เราต้องจำแนกต้นทุนออกมาถี่ยิบให้ได้มากที่สุด

  1. หนังวัว : ถ้าสมมติใช้เศษหนังเป็นกิโล กิโลละ 450 บาท ได้มา 10 แผ่น > ก็ตกแผ่นละ 45 บาท > ถ้ากระเป๋าสตางค์ 1 ใบใช้หนัง 2 แผ่น เราจะได้ราคาต้นทุนหนัง = 90 บาท
  2. กาว : กาว 1 กระป๋องใช้ได้กี่ชิ้นงาน ให้ลองประเมินเผื่อ สมมติได้ 10 ชิ้นงาน กระป๋องละ 90 บาท เราจะได้ค่าต้นทุนกาว = 9 บาท
  3. ด้ายเทียน : 1 หลอดใช้ได้กี่ชิ้นงาน สมมติ 10 ชิ้นงาน ด้ายเทียนหลอดละ 80 บาท เราจะได้ต้นทุนด้ายเทียน = 8 บาท
  4. ค่าแรง : กระเป๋า 1 ใบ เราใช้เวลาทำกี่วัน และคิดว่าชีวิตประจำวันของเรา ต้องได้เงินกี่บาทถึงจะพอใช้จ่าย สมมติเราอยากได้ค่าแรงประมาณวันละ 200 บาท และเราใช้เวลาทำกระเป๋าสตางค์ครึ่งวัน > เท่ากับว่าเรามีต้นทุนค่าแรง = 100 บาทต่อใบ
  5. ค่ากล่องแพ็คเกจ : 20 บาทต่อใบ
  6. ค่ากล่องปณ : 2 บาทต่อใบ
  7. กรณีขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์พวก Shopee, Lazada ต้องอย่าลืมที่จะเผื่อราคาค่าธรรมเนียมขายนะคะ บวกไว้เลย 22-24% ค่ะ
  8. และข้อสุดท้าย ต้องไม่ลืมเผื่อภาษีด้วยนะคะ : กรณีขายบน Shopee Lazada แน่นอนว่าถูกนำส่งข้อมูลผู้ขายกับกรมสรรพากร และเรามีหน้าที่ที่จะต้องยื่นภาษีค่ะ กรณีที่รายรับถึงตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ก็ต้องเผื่อภาษีไว้ด้วยค่ะ ข้อนี้ตายกันมาเยอะแล้ว ต้องไม่ลืมเด็ดขาดนะคะ

จากรายละเอียดที่เราแจกแจงออกมาด้านบน เราจะได้ต้นทุนต่อชิ้นงานแล้ว รวมทั้งสิ้น 229 บาท (ไม่รวมภาษี และค่าวางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์) > ให้ประมาณเผื่อไว้สำหรับอัตราเงินเฟ้อไปเลยสัก 1 ปีล่วงหน้า ว่าเป็น 250 บาทเต็มๆ (ไม่รวมภาษี และค่าวางขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์)

การประเมินต้นทุน ให้คิดเสมอว่า คิดเยอะดีกว่าคิดน้อย

คิดประเมินเผื่ออัตราเงินเฟ้อไว้เยอะๆค่ะ เผื่อร้านที่เราซื้ออะไหล่ขึ้นราคา เผื่อไว้ล่วงหน้าเลย เพราะการตั้งราคาสินค้า ไม่ควรเปลี่ยนแปลงบ่อย

กรณีที่เราประเมินต้นทุนไม่ดี จนวันนึงเรารู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเลยที่จะทำขายราคาเดิม แล้วเราขึ้นราคา ในเชิงการค้าหรือการตลาดมักไม่ค่อยปรับราคาขึ้นบ่อยๆค่ะ อย่างน้อยก็ 1 ปีปรับสักทีนึง

อันดับสอง เราต้องการขายลูกค้าแบบไหน

ราคามีผลกับลูกค้าของเราค่ะ เราต้องตั้งก่อนว่า เราจะขายลูกค้ากลุ่มไหนที่เราสนใจ

  1. กลุ่มที่ชอบของถูก และซื้อเพราะราคาขายเป็นหลัก : ถ้าเจาะกลุ่มนี้ ราคาขายก็ต้องกดต่ำ ส่วนใหญ่ก็เอากำไรจากต้นทุน 5-10% ค่ะ แต่ขอเตือนว่าคุณจะเหนื่อยนะคะ เพราะต้องขายจำนวนชิ้นที่เยอะขึ้น ถ้าเป็นงานหนังทำมือที่ต้องใช้เวลามากๆ แล้วคุณมีเวลาที่จำกัดในการผลิตชิ้นงานแต่ละอัน มันอาจทำให้คุณได้กำไรมายากนะ เพราะเค้ามองที่ราคาเป็นหลัก และแน่นอนว่าสมัยนี้ก็มีจีนเข้ามาเป็นคู่แข่งที่สำคัญ เพราะเขามีต้นทุนที่ต่ำมากจนน่าตกใจ
  2. กลุ่มที่ชอบความคุ้มค่า : สามารถรับได้กับราคาที่สูงขึ้นมา แต่สินค้ามีคุณภาพ สวยงามและคงทน : กลุ่มนี้ บวกกำไรไปได้ตั้งแต่ 10-40% ค่ะ จะเป็นกลุ่มที่การตั้งราคาต้องสมเหตุสมผลกับสินค้าที่เค้าซื้อไปค่ะ ตลาดค่อนข้างกว้างสำหรับกลุ่มนี้ และไม่จำเป็นที่การตั้งราคาของเราจะต้องถูกที่สุด ถ้าสินค้าเราดีมากพอ ใช้ได้นาน ดีไซน์สวย เราจะเจาะกลุ่มนี้ได้ไม่ยากเลย และไม่ต้องแข่งขันราคากับร้านอื่น โดยเฉพาะจีนด้วย
  3. กลุ่มที่ชอบความพรีเมียม ราคาสูงไม่เป็นไร แต่งานต้องเนี้ยบ ต้องดี หรือมีแบรนด์ : ถ้าเจาะกลุ่มนี้ บวกไปเลยค่ะ กำไรจากต้นทุน 40-50% คุณจำเป็นจะต้องสร้างแบรนด์ค่ะ แต่ก็จะเกิดคำถามใช่ไหมล่ะคะ ว่าแล้วถ้าเริ่มต้นทำแบรนด์ จะไปแข่งยังไงกับเจ้าตลาดที่มีอยู่แล้ว .. ตรงนี้ต้องใจเย็นๆ และโฟกัสกับงานหนังที่เราทำให้มากที่สุดค่ะ งานเราจะต้องละเอียดจริง ฝีเข็ม การเก็บขอบ รวมถึงการคัดเลือกหนังมาใช้ จะต้องมีความสวยงาม แม้ต้นทุนจะสูง และเราก็ต้องทำแบรนด์ร่วมกันไปด้วย .. วิธีที่จะขายไปสู้แบรนด์เจ้าตลาดได้ คือ “ขายในราคาต่ำกว่าในระยะเริ่มต้น” ค่ะ ถ้าแบรนด์เราแข็งแรงแล้ว วันนึงเราจะขึ้นราคาได้สูงมาก แต่งานเราก็ต้องดีจริงๆด้วยนะคะ .. กลุ่มนี้ ต้นทุนเราสูงได้ แต่เราก็ตั้งราคาสูงได้เช่นกันค่ะ ไม่จำเป็นต้องขายวันละหลายพันชิ้น แต่เราเน้นความละเอียด ความพิถีพิถัน แล้วขายในราคาแพงได้ เพราะเราใช้เวลากับมันค่ะ ไม่ต้องกังวลเลย (บางทีอาจจะได้กำไรและเหนื่อยน้อยกว่ากลุ่มที่ 1. เสียอีกค่ะ)

อันดับสาม งานเรามีคุณภาพมากแค่ไหน

ส่วนนี้อาจจะประเมินยาก เพราะตัวเราเองก็คิดว่างานเราดีแล้ว สวยแล้ว

คนที่ตอบได้ดีที่สุด คือ คนรอบตัวของเราค่ะ

อาจจะต้องมีการเอางานของเราไปถามคนอื่น แล้วเปรียบเทียบกับแบรนด์ที่เรามองว่า เราอยากสู้กับเขา อยากไปให้ถึงจุดที่เขาอยู่ แล้วให้คนอื่นช่วยแสดงความคิดเห็นว่า คิดว่างานของเราได้คุณภาพเทียบเท่ากับแบรนด์นั้นหรือยัง (ด้วยสายตา)

เพราะถ้าสินค้าที่เราทำออกมา ไม่ได้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เราวางไว้ เช่น วางว่าจะขายกลุ่มที่ชอบความพรีเมียม ไม่เกี่ยงราคา แต่มาตรฐานงานเราไปไม่ถึง สุดท้ายเราก็จะขายสินค้าไม่ออก และก็ไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เราวางไว้อยู่ดี

ทุกข้อ ตั้งแต่ 1-3 จึงจำเป็นต้องสอดคล้องกันเสมอ

ต้นทุนต้องได้ – กลุ่มเป้าหมายต้องใช่ – คุณภาพต้องโดน

ถ้าทั้งสามอย่างนี้สัมพันธ์กัน ราคาขายของเราจะเป็นราคาขายที่สมเหตุสมผล, ทำให้ธุรกิจเราเติบโตและมั่นคงในอนาคตได้แน่นอนค่ะ

ขอให้มีความสุขกับงานหนังทุกท่านนะคะ 🙂

Author: TMLeatherFriend